อ่านก่อนซื้อ!! 5 ข้อเท็จจริง ในงานเปิดตัว iPhone 13 iPhone 13 Pro ที่ Tim Cook อาจจะไม่ได้บอกคุณ!!

เปิดตัว iPhone 13

ในงาน Apple Event “California streaming” ที่ผ่านมา เป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ในทุกๆเดือนกันยายน ของทุกๆปี แน่นอน ในปี 2021 นี้ ไฮไลท์ในงานที่ทุกคนคาดหวัง และตั้งตารอ คงหนีไม่พ้นการเปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดนิยมที่สุดในทุกๆ การเปิดตัว รองมาก็จะเป็น iPad และ Apple Watch ที่ทุกๆคนต่างก็เฝ้ารอว่า จะตรงกับข่าวลือมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง แต่ทุกๆ การ Presentation ของ Apple มักจะมารายละเอียดบางอย่างที่ไม่ได้บอกให้ครบ หรืออาจจะบอกแต่ผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เป็นได้ วันนี้ เว็บไซต์ GagangTech จะรวบรวมข้อมูลของ 5 ข้อเท็จจริง ที่ Tim Cook อาจจะไม่ได้บอกคุณ ในงานเปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ที่ผ่านมา

ข้อที่ 1 - ไม่ได้พูดถึงชิป A15 รุ่นใหม่ล่าสุด เทียบกับ M1 เลยแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ iPhone จะได้รับการอัพเกรด ชิปประมวลผล (CPU) ที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดก่อนใครเพื่อนเสมอ รวมถึงการเปิดตัว iPhone 13 iPhone 13 Pro ในครั้งนี้ด้วย ที่ได้อัพเกรดชิปจาก Apple A14 Bionic เป็น A15 Bionic ด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนในด้านประสิทธิภาพ Apple มักจะโม้ว่า ชิป รุ่นใหม่นั้นดีกว่ามากมายแค่ไหน เมื่อเทียบกับชิปรุ่นก่อนหน้าอย่าง A14 Bionic และชิป Snapdragons ของทางฝั่งแอนดรอยด์เป็นต้น

เปิดตัว iPhone 13

แต่น่าแปลกที่ Apple ไม่ได้พูดถึง ชิป M1 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย เช่น A15 จะแรงต่างจาก M1 มากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าหากไม่ได้พูด แปลว่า อาจจะยังแรงต่างกันมากอยู่ดี ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องแปลก โดยปกติแล้วมันค่อนข้างผิดวิสัยที่ iPhone ไม่ได้ใช้ชิปตัวแรงล่าสุดแบบนั้น เพราะปกติ iPhone จะนำหน้า iPad ไปก่อนเสมอ 

อาจจะเป็นเพราะ iPad Pro 2021 รึเปล่า? ที่ได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากเนื่องจากได้อัพเกรดชิป Apple M1 ซึ่งเป็นชิปที่ประสิทธิภาพสูง ที่ขนาดถูกพัฒนาขึ้นมาแทนที่ ชิปของ Intel และแน่นอนว่าไม่มีข้อกังขาเกี่ยวกับความแรงของชิป M1 ดังกล่าวอย่างแน่นอน เนื่องจากได้ถูกอัพเกรดให้กับเครื่อง MacBook และ iMac ที่เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานนั่นเอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เล็กน้อย เพราะชิป M1 นั้นกินพลังงานค่อนข้างมาก และมีประสิทธิภาพสูงมากกว่า ชิปตระกูล A แต่ชิปตระกูล A นั้นกินพลังงานต่ำกว่า M และมีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่อาจจะฟังขึ้นว่าทำไมต้องใส่ใน iPhone อย่างเดียว

ชิป M1 คืออะไร?  >> เจาะลึก ชิป Apple M1 ใน iPad Pro 2021 รุ่นล่าสุด

เลือกซื้อ iPad รุ่นไหนดี?  >> สงคราม iPad ซื้อ iPad รุ่นไหนดี (อัพเดทล่าสุด 2021)

 

เปรียบเทียบสเปคคร่าวๆ ของชิปทั้งสามรุ่นในปัจจุบัน

A14

iPhone 12 ทั้งหมด

iPad Air 4 , iPad mini 6

 

จำนวนคอร์ : 6 คอร์

จำนวนเทรด : 6 เทรด

ความเร็ว : 1.8 – 3.01 GHz

ชิปกราฟฟิค : 4 Units 

เทคโนโลยี : 5 nm 

 

 

A15

iPhone 13 ทั้งหมด

 

 

จำนวนคอร์ : 6 คอร์

จำนวนเทรด : 6 เทรด

ความเร็ว : 1.8 – 3.20 GHz

ชิปกราฟฟิค :  5 Units

เทคโนโลยี : 5 nm 

 

 

M1

iPad Pro 2021

iMac , Macbook 2021

 

จำนวนคอร์ : 8 คอร์

จำนวนเทรด : 8 เทรด

ความเร็ว : 3.20 GHz

ชิปกราฟฟิค : 128 Units 

เทคโนโลยี : 5 nm 

 

 

จากสเปคด้านบน จะเห็นเลยว่า สเปคของ A15 นั้นเรียกว่า Minor Upgrade ก็ว่าได้ เพราะถูกอัพเกรดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับ M1 ที่มีทั้งคอร์และชิปกราฟฟิคที่ดีกว่ามากมาย

แต่คำถามคือ iPad นอกจากตระกูล Pro ก็ยังคงใช้ชิป ตระกูล A ที่เหมาะสมกับสมาร์ทโฟนมากกว่าอยู่ดี หรือว่าแอปเปิ้ลต้องการยกระดับ iPad Pro ให้ไม่รวมกลุ่มกับ iPhone และ iPad รุ่นอื่นๆ ทำให้ต่อจากนี้ iPad Pro จะใช้ซีรีส์ M ตลอด และ นอกนั้นจะยังคงใช้ A ไปเรื่อยๆ…?

แต่ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ไม่เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่า การลงทุนอัพเกรดจาก A14 ไปยัง A15 นั้นไม่มีความคุ้มค่าเอาซะมากๆเลย เพราะ A14 เองก็ยังคงแรงได้อีกหลายปี รวมถึงในอนาคตอาจจะมีการพัฒนาชิป M รุ่นต่อไปให้เล็กลง และกินพลังงานน้อยพอที่จะสามารถยัดใส่ลงใน iPhone ได้..

ข้อที่ 2 - iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มีแรม มาให้ทั้งหมดกี่ GB?

ทุกครั้งที่เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ สิ่งที่มักไม่ถูกพูดถึงเลยก็คือ แรม (Ram) ภายในเครื่อง ทีเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ ระบบ IOS นั้นใช้งานได้อย่างลื่นไหล ทำงานได้ไม่ติดขัด

โดยเจ้า แรม ที่ว่านี่ไม่ใช่ พื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในเครื่องที่เป็น Storage หรือเรียกติดปากกันว่า “ความจุ” แต่อย่างใด แต่เป็น หน่วยความจำชั่วคราว ที่ทำหน้าที่ในการพักและส่งข้อมูลระหว่างหน่วยประมวลผลนั่นเอง หาก แรมน้อย จะส่งผลให้การทำงานภายในเครื่อง มีโอกาสไม่ลื่นไหล หรือติดขัด ก็เป็นได้

แน่นอนว่า ในสมาร์ทโฟนของทางฝั่งแอนดรอยด์ ก็มีแรมที่มีความจุมากมาย ไปตั้งแต่ 8GB ไปจนถึง 16GB กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับ คอมพิวเตอร์เลยนะเนี่ย

เปิดตัว iPhone 13

แต่กลับกันใน iPhone นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้เน้นเรื่องนี้เท่าที่ควร เพราะระบบ IOS แตกต่างจากแอนดรอย์ตรงสามารถจัดการแรมได้อย่างดี ทำให้ประสบปัญหาแรมไม่พอน้อยจนถึงน้อยมาก iPhone จึงอนุรักษ์นิยม ค่อยๆ ใส่แรมมาให้อย่างกระมิดกระเมี้ยน โดย iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ยังคงกั๊กสเปคแรมโดยใส่แรมมาให้เพียงแค่ 4GB เท่านั้น 

เเต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะการเปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ในครั้งนี้ ได้อัพเกรดแรมมาเป็น 6GB ให้ใกล้เคียงกับฝั่งแอนดรอย์เสียที ซึ่งก็เหลือเฟือมากมายต่อการใช้งานทั่วไป และเพียงพอต่อการใช้งานแบบหนักหน่วงอยู่ประมาณหนึ่ง เช่น การตัดต่อวีดีโอ ใช้งาน Background แอพพลิเคชั่น หลายๆ แอพพร้อมๆกันเป็นต้น

ข้อที่ 3 - หน้าจอ Pro Motion ของ iPhone 13 Pro มีการทำงานอย่างไร?

เปิดตัว iPhone 13

อีกหนึ่งเรื่องที่หลายๆคนอาจจะเดาได้ คือการนำ จอที่มี Refresh Rate 120Hz เหมือนกันกับใน iPad Pro มาใส่ใน iPhone 13 Pro , Pro Max สักที ซึ่งแอนดรอยด์นั้นนำหน้าเรื่องนี้มาค่อนข้างไกลมากแล้ว

ซึ่งจอที่มี Refresh Rate สูงๆ มีประโยชน์อย่างไร?

  • จอที่มีความถี่สูง จะทำให้รู้สึก ทัชสกรีนแล้วลื่นไหลกว่าปกติ (แต่ iPhone ก็ทัชลื่นอยู่แล้ว) 

  • จอที่มีความถี่สูง จะทำให้เล่นเกมที่ต้องใช้ความเร็วได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถเคลื่อนไหว หรือปัดให้เร็วแบบ Pro Player มักใช้กันได้ ซึ่งก็เหมาะกับเกมเมอร์ที่ชอบเล่นเกมตระกูล FPS เป็นต้น

  • จอที่มีความถี่สูง จะทำให้สามารถทำงานประเภทการวาดเขียนลื่นไหลดีมาก (แต่ iPhone ใช้ ปากกาไม่ได้

โดยคุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้นนี้ หากใครที่เคยเล่นจอคอมพิวเตอร์ที่มี Refresh Rate สูงๆ เช่น 144Hz จะเข้าใจอย่างมาก และอาจจะตาเทพ จนไม่สามารถใช้จอ ที่ต่ำกว่า 120Hz ไปแล้วก็ได้ 

เปิดตัว iPhone 13

โดยเรื่องหนึ่งที่ใครหลายคน ได้ยินไม่ค่อยถนัด ก็น่าจะเป็นเรื่องการทำงานของจอ Pro Motion ใน iPhone 13 Pro ที่จะแตกต่างจาก iPad Pro นั่นเอง

โดยเจ้าจอ Pro Motion ใน iPhone นั้นทำงานแบบ Adaptive Refresh โดยอัตโนมัติ คือ หากเราไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จอจะคอยปรับลดความถี่ลงให้เพียงพอต่อการทำงาน เช่น 60Hz เมื่ออ่านบทความในเว็บไซต์ 120Hz เมื่อเล่นเกมออนไลน์ 48Hz เมื่อดูซีรีส์ในเน็ตฟลิก เป็นต้น

ดังนั้น หากเป็นคนตาดี เอาไปเทียบกับ iPad Pro หรือ เครื่องแอนดรอยด์ อาจจะตกใจเมื่อความลื่นเร็วเมื่อเทียบกับ จอ iPhone อาจจะไม่เท่ากันก็ได้ หากเราทำงานด้วยระบบ Adaptive Refresh อย่างไรก็ตาม เราสามารถปรับให้จอ ให้ใช้ Refresh Rate ที่เป็น Adaptive แบบอัตโนมัติ หรือ ให้ใช้ค่าสูงสุดตลอดเวลา แต่อาจจะต้องแลกกับการกินพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน

ข้อที่ 4 - แบตเตอรี่เพิ่มขึ้น ดีกว่าแค่ไหนเมื่อเจอกับจอ 120hz

เปิดตัว iPhone 13

เรื่องหนึ่งที่ เจ๊ทิม ไม่ได้พูดมากนัก คือเรื่องของ การจัดการพลังงานของ  iPhone 13 Pro ที่ใช้จอ Super Retina XDR ซึ่งเป็นจอพาเนล OLED ที่ปกติก็มีอัตราการกินพลังงานสูงกว่าจอ LED ทั่วไปอยู่แล้ว การใส่คุณสมบัติ Pro Motion เข้าไปในจอ OLED นั้นอาจจะเพิ่มการกินพลังงานขึ้นไปอีก

โดยสเปคของ แบตเตอรี่ ใน iPhone 13 ที่ Apple ได้พูดถึงคือ สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 12 มากขึ้น 2.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 Mini สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 12 Mini มากขึ้น 1.5 ชั่วโมง

และทางฝั่งของ iPhone 13 Pro เอง ก็สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone 12 Pro มากขึ้น 1.5 ชั่วโมง และ 2.5 ชั่วโมงในรุ่น Pro Max

ซึ่งแอดได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสเปค แบตเตอรี่ให้ทุกคนได้ลองพิจารณาดูกันครับ

เปรียบเทียบสเปคแบตเตอรี่ระหว่าง iPhone ทั้ง 4 รุ่น

 

iPhone 12 mini

2,227 mAh

 

iPhone 12 

2,815 mAh

 

 

iPhone 13 mini

2,406 mAh

 

iPhone 13 

3,095 mAh

 

 

iPhone 12 Pro

2,815 mAh

 

iPhone 12 Pro Max

3,687 mAh

 

 

iPhone 13 Pro

3,095 mAh

 

iPhone 13 Pro Max 

4,352 mAh

 

ซึ่งทั้งองค์ประกอบของจอ แบบ OLED และ เทคโนโลยี 5G ทำให้ iPhone 12 Mini ถึงกับต้องร้องจ๊าก เพราะแบตมันช่างน้อยเหลือเกิน รวมถึงรุ่นพี่อย่าง iPhone 12 , 12 Pro ที่ก็กระอักไม่แพ้กัน เพราะควรจะอยู่ได้นานกว่านี้

ถ้าหากต้องเพิ่ม ความสามารถของ หน้าจอแบบ Pro Motion ใน iPhone 13 Pro ไปอีก ก็น่าห่วงว่าแบตเตอรี่ใน iPhone 13 Pro มากพอที่จะทำให้อยู่ได้นานกว่า iPhone 12 Pro หรือไม่

ถ้าหากจอ 120Hz นั้นส่งผลกระทบจริง อาจจะทำให้แบตไหล มากกว่า iPhone 12 Pro ที่แต่เดิมก็มีแบตไม่ได้มากอยู่แล้วก็เป็นได้

ข้อที่ 5 - โปรโมทกล้องถ่ายวีดีโอระดับสตูดิโอ แต่ถ่ายโอนไฟล์แบบ Windows XP

เรื่องหนึ่งที่เปิดตัวมาได้อย่างดีเลย คือการถ่ายวีดีโอแบบ Cinematic Mode ซึ่งเท่าที่ดูในไลฟ์งานเปิดตัวนั้น ถือว่าทำได้ดี และน่าสนใจมากๆ เพราะ iPhone 13  iPhone 13 Pro ได้อัพเกรดสเปคกล้อง ที่เพิ่มขึ้นนั้น ทำให้ภาพคมชัดในที่มืดได้ดีขึ้นมากและแสงเงามีมิติมากขึ้น อีกทั้งยังมีการโฟกัสที่รวดเร็วขึ้นมาก และในรุ่น Pro และ Pro Max ยังสามารถซูมแบบ Optical ได้ถึง 6X และรวมไปถึง iPhone เองมีกันสั่นที่ดีมากๆ สามารถถือถ่ายวีดีโอได้เลย ซึ่งถ้าหากเราใช้ iPhone ถ่ายวีดีโอถ่ายหนังได้ดีแบบนั้น คงจะเยี่ยมสุดๆ

เปิดตัว iPhone 13

แต่ก็ต้องมาตกม้าตาย กับการที่ยังคงใช้พอร์ตโบราณที่เป็นเทคโนโลยีสมัย windows XP อย่าง พอร์ต Lightning อยู่อีก ซึ่งนับเป็นเวลามากกว่า 8 ปีแล้วที่ Apple ยังคงอนุรักษณ์พอร์ตนี้ไว้ราวกับผลงานชิ้นโบว์แดง ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีมันล้าสมัยไปเป็น สิบๆ ปีแล้ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคาดหวังจนผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเลิกหวังแล้ว เหตุผลเพราะอะไร เรามาดูกันครับ

  • พอร์ต Lightning  นั้นใช้เทคโนโลยี การเชื่อมต่อเป็น USB แบบ 2.0 ซึ่งมีอัตราการถ่ายโอนข้อมูลราวๆ 480 Mbps 

  • และไฟล์ Video ใน iPhone ยุคนี้ กลับคุณภาพกล้องระดับนี้ มันจะมีขนาดใหญ่พอสมควรเลย โดยเฉพาะการถ่ายแบบ ความละเอียดถึง 4K ซึ่งเทคโนโลยี USB 2.0 มันไม่สามารถรองรับการถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่แบบนี้ไหวแล้ว

  • ซึ่งอย่างน้อยควรจะเป็น USB 3.0 ที่มีความเร็วถ่ายโอนราวๆ 4.8 Gbps แทนจึงจะเพียงพอต่อการถ่ายโอนข้อมูลระดับนี้

  • และค่อนข้างบ้ามาก ที่สมาร์ทโฟนแอนดรอย์ทั่วทั้งโลก รวมถึง iPad , Macbook iMac ของแอปเปิ้ล เองแท้ๆ ยังอัพเกรดเป็น USB Type C ที่เป็นมาตราฐานใหม่ของโลกเลยครับ แต่ทำไม Apple มีเหตุผลอะไรที่ยังต้องกั๊ก Type C ไม่ใส่มาให้ iPhone อีกนะ

  • หากใครยังไม่รู้ว่า Type C นั้นทำงานด้วยเทคโนโลยีอะไร USB Type C นั้น เริ่มต้นเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี USB 3.1 โดยมี Speed เริ่มต้นคือ 10 Gbps ซึ่งเร็วมากๆ และยังมีการอัพเกรดเป็น USB 3.1 Gen 1 2 3 หรือ 3.2 ได้อีกด้วย

เปิดตัว iPhone 13

ซึ่งหากคุณเป็น Content Creator และต้องการซื้อ iPhone 13 Pro หรือ Pro Max มาเพื่อถ่ายทำวีดีโอแบบ Pro ละก็ ทุกอย่างมันจะถูกดับฝันลงตรงการถ่ายโอนข้อมูลจาก iPhone ไปยัง คอมพิวเตอร์ PC เนี่ยแหละครับ เพราะหากไฟล์ที่คุณถ่ายเก็บมามีขนาดไม่ต่ำกว่า 64GB – 128GB คุณอาจต้องใช้เวลามากกว่า 30  นาที – 1 ชั่วโมง ในการถ่ายโอนหนึ่งครั้ง

แต่ถ้าหากคุณต้องการถ่ายโอนไฟล์เล็กๆน้อยๆ เทคโนโลยี Airdrop ของ iPhone ก็จัดว่าสะดวกรวดเร็ว แต่คุณต้องมีเครื่อง Mac ที่ใช้ในการตัดต่อ อยู่แล้ว หรือมี iPad ในการตัดต่อ หากคุณไม่มีสองสิ่งนี้ ก็ต้องตัดต่อเอาใน iPhone ล่ะครับ

หากต้องการจบปัญหาด้วยการฝากข้อมูลลง Cloud เช่น Google Drive หรือ iCloud ข้อมูลระดับนั้นคุณก็ต้องเสียเงินให้กับบริการพื้นที่ แบบ Unlimited เสียก่อน และต้องการอินเทอร์เน็ตที่ดีมากๆ ในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ ลำพัง 4G อาจจะไม่ช่วยให้ใจเย็นลงได้แน่นอน

ซึ่งทุกอย่างมันก็จะจบ เพียงแค่ใส่พอร์ต USB C มาให้ใน iPhone เหมือนกับที่ อุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple ได้แล้ว!

 

หากชอบบทความของเรา สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการ

 กดไลค์ GagangTech และติดตามช่อง Youtube GagangTech

– แล้วไว้เจอกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ –

 

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.