เจาะลึก คีย์บอร์ด Mechanical คืออะไร? ทำไมเกมเมอร์ถึงต้องมีไว้ครอบครอง

แน่นอนครับ ว่าการเล่นเกมให้เป็นดั่งมือโปร หรือการเล่นเกมให้ชนะในหนึ่งเกม สกิลหรือทักษะของผู้เล่นนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด รองมาก็เป็นระบบทีมเวิร์ก ในเกมที่ต้องใช้การเล่นเป็นทีม แต่หนึ่งสิ่งที่เกมเมอร์นั้นขาดไม่ได้ นั่นก็คืออุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์แบบจัดเต็ม ที่จะช่วยเพิ่มจิตวิทยาเกี่ยวกับสกิลเพลของเรา ว่าเราเก่งขึ้น เจ๋งขึ้น เพราะได้ใช้อุปกรณ์ดีนั่นเอง และอุปกรณ์ด้านเกมมิ่งที่จะมาเจาะลึกกันวันนี้ ก็คือคีย์บอร์ด Mechanical นั่นเอง

คีย์บอร์ด Mechanical อีกขั้นหนึ่งของการเป็นโปรเพลเยอร์

คีย์บอร์ด Mechanical

แอดไม่ได้บอกว่าการมีคีย์บอร์ดแมคคานิคอล จะทำให้เราเป็นโปรเพลเยอร์นะ แต่แอดหมายความว่า แมคคานิคอล คือการอัพเกรดอีกขั้นสำหรับโปรเพลเยอร์นั่นเอง นั่นหมายความว่า

“ถ้าเราคิดว่าเราเล่นเกม เก่ง โหด เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ไม่มีอุปกรณ์เกมมิ่งดีๆเลย ก็จงหามาไว้ในครอบครองซะ แล้วจะเข้าถึงการอัพเกรดอีกขั้นของโปรเพลเยอร์อย่างแท้จริง”

คีย์บอร์ด คืออะไร? มีแบบใดบ้าง

คีย์บอร์ด Mechanical

       

คีย์บอร์ด (Keyboard) คือหนึ่งในอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับข้อมูล (Input Device) จากผู้ใช้งาน (User) ให้สามารถป้อนข้อมูลลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยคีย์บอร์ดทั่วไป เราจะเรียกว่า “คีย์บอร์ดปุ่มยาง” หรือ Rumble Dome Keyboard 

คีย์บอร์ดปุ่มยาง ไม่ได้หมายความว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นยางนิ่มๆ แต่อย่างใดนะ แต่หมายถึงคีย์บอร์ดนั้น มีส่วนผสม หรือองค์ประกอบที่เป็นแผ่นยางอยู่ ไม่ว่าคีย์บอร์ดนั้นจะเป็นยางมาเลย หรือจะเป็นคีย์บอร์ดแบบปกติทั่วไป แต่ก็ล้วนมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ ยางอยู่ทั้งสิ้น โดยเจ้าองค์ประกอบที่เป็นยางนี้ ถูกบรรจุเอาไว้ตรงกลาง ระหว่าง แผงวงจร กับ คีย์แคบนั่นเอง เวลาเรากด คีย์แคบ (Keycap) ก็จะไปกระทบกับยาง ทำให้เกิดการเชื่อมต่อไฟฟ้ากันระหว่างปุ่มกับแผงวงจรนั่นเอง   

คีย์บอร์ด Mechanical

โดยเจ้าคีย์บอร์ดแบบยางนี้ จะมีราคาที่ต่ำ และมีการกดที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เป็นที่นิยมในตลาดจำนวนมาก หากเราเห็นคีย์บอร์ด ลองกดดูแล้วนิ่มๆ ไม่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ รูปทรงเรียบง่าย ให้อนุมานไว้เลยว่าเป็นคีย์บอร์ดยางแน่นอน

 

แล้วคีย์บอร์ด ที่เรียกว่า คีย์บอร์ด Mechanical เป็นอย่างไร

คีย์บอร์ด Mechanical คือคีย์บอร์ดที่ไร้ซึ่งองค์ประกอบที่เป็นแผ่นยาง โดยคีย์บอร์ดแบบ Mechanical จะทำงานโดยการ ใช้ กลไกลของปุ่ม หรือเรียกกันติดปากว่า Switch ในการเชื่อมต่อระหว่างคีย์แคป กับแผงวงจร โดยเจ้า สวิตซ์ที่ว่านี่แหละ คือจุดเด่นของการทำงานของ คีย์บอร์ดแบบ Mechanical เลย เพราะในแต่ละปุ่ม จะมีสวิตซ์ที่แยกกันทำงานอย่างเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นแผ่นยางเดียวกันแบบปุ่มยาง ซึ่งมีข้อดีมากมายกว่าปุ่มยางเยอะ

โดยเมื่อเรากดปุ่มลงไปในคีย์บอร์ด คีย์แคปก็จะทำให้กลไกของ แมคคานิคอล ทำงาน โดยกลไกของแมคคานิคอล จะมีการทำงานในแต่ละสวิตซ์ที่แตกต่างกัน และเมื่อกลไกทำงานเสร็จสิ้น จะเป็นการเชื่อมต่อกับแผงวงจร และป้อนข้อมูลลงคอมพิวเตอร์นั่นเอง

และเอกลักษณ์ของคีย์บอร์ดแบบ Mechanical นอกจากการทำงานด้วยสวิตซ์อิสระแยกจากกัน ก็คือรสสัมผัส และเสียงเวลาคีย์แคปกระทบกับสวิตซ์นั่นเอง แต่ละสวิตซ์ก็จะให้เสียงที่แตกต่างกัน ทำให้เพิ่มรสนิยมในการพิมพ์หรือเล่นเกมไปอีกขั้น

 

เสมือนว่าเรากำลังเลือกกินข้าวอะไร แล้วจะได้รสชาติ ได้กลิ่นแบบไหนเลยล่ะ

คีย์บอร์ด Mechanical

คีย์บอร์ดแบบ Mechanical มีความนิยมอย่างมากหมู่เกมเมอร์โปรเพลเยอร์ เพราะ คีย์บอร์ดแบบ Mechanical นั้นมีการปรับแต่ง หรือเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง เสมือนกับเราแต่งคอม หรือแต่งรถให้ได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของ คีย์แคป (Keycap) สวิตซ์ (Switch) สามารถเปลี่ยนและแต่งได้หมด รวมถึงคีย์บอร์ดเกมมิ่งรุ่นใหม่ จะมีการปรับแต่งไฟ RGB มาให้ในตัวเพิ่มความสวยงามเข้าไปอีก นอกจากนี้แล้ว คีย์บอร์ดแบบ Mechanical ที่ใช้ สวิตซ์แบบ Cherry สวิตซ์ จากประเทศเยอรมัน ยังมีความคงทนเอามากๆ ไม่ว่าจะกดรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่มีอาการพังให้เห็นแต่อย่างใด หรือจะหัวร้อนทุบโต๊ะ จนคีย์บอร์ดตกกระจาย ก็สามารถเอามาประกอบกลับใหม่ ใช้งานได้เหมือนเดิม ถ้าหากไม่มีน้ำลงไปโดนแผงวงจรไม่ช๊อตเสียหาย (ซึ่งยากมากๆ เพราะ คีย์บอร์ดแมคคานิคส่วนใหญ่จะซ่อนแผงวงจรไว้อย่างดี ทำให้น้ำซึมเข้ายาก)  ก็แทบจะไม่มีวันเจ๊งเลยทีเดียว เรียกได้ว่า แต่งได้ดั่งใจ ทนทายาท ได้เสียงและอรรถในการพิมพ์ เต็งหนึ่งเรื่องคีย์บอร์ดเลย

คีย์บอร์ด Mechanical

เทคนิคการเลือกซื้อคีย์บอร์ดแบบ Mechanical มีอะไรบ้าง

คีย์บอร์ด Mechanical นั้นมีหลายแบบมาก จนอาจจะงงและตาลายเวลาเลือกซื้อกันเลยทีเดียว แต่เวลาจะซื้อนั้นจริงๆแล้วมีเรื่องให้ต้องพิจารณานิดเดียวเท่านั้น

อันดับแรก 1 – เช็คว่า ใช้สวิตซ์ของอะไร

คีย์บอร์ดแมคคานิคอลมีสวิตซ์หลายแบบ หลายแบรนด์ ให้เลือกใช้ แต่แบรนด์ที่เป็นต้นตำหรับและยอดนิยมมากที่สุดคือ Cherry MX Switch ที่ Made in Germany ประเทศเยอรมัน ขึ้นชื่อเรื่องความคงทนและมาตราฐานด้านคุณภาพของสินค้ามากๆ ดูรถยุโรปเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น หากอยากเข้าถึงแก่นของ แมคคานิคอลจริงๆ ต้องดูว่าคีย์บอร์ดนั้นใช้สวิตซ์ของ Cherry MX หรือไม่ ถ้าใช่ก็จงรีบสอยได้เลย แต่ข้อเสียราคาอาจจะแพงกว่าสวิตซ์แบบอื่น ให้เตรียมเงินและพิจารณาตรงนี้ด้วย หากงบน้อย ลองเลือกสวิตซ์ที่ผลิตจากจีน หรือทำคล้ายกับ Cherry  อย่างเช่น Gateron Switch , หรือ Kailh Switch ที่ยอดนิยมเช่นกัน

อันดับสอง 2 – เช็คว่า สวิตซ์ (Switch) เป็นแบบไหน

สวิตซ์นั้นมีหลายแบบมากๆ โดยแต่ละแบบจะแบ่งตามสีของ Switch โดยจะขอยกตัวอย่าง Switch ของ Cherry MX แล้วกันนะครับ ว่ามีสีอะไรบ้าง ให้เลือกตามสีและคุณสมบัติที่คิดว่าตรงตามใจที่เราต้องการใช้งาน หรือถ้าให้ดี ไปกดเองไปสัมผัสให้มากๆ ก่อนตัดสินใจดีที่สุด โดยในบทความนี้จะอธิบายคุณสมบัติคร่าวๆ ของ สวิตซ์แต่ละสี ให้ได้อ่านประกอบการตัดสินใจกันในเบื้องต้น หัวข้อถัดไปนะครับ

อันดับสอง 3 – เช็คว่าแบรนด์และเช็คว่าใช้คีย์แคปแบบใด 

แบรนด์ที่จัดจำหน่ายเกมมิ่งเกียร์ในบ้านเรานั้น มีหลายเจ้ามากมายเหลือเกิน ใครชอบใจเจ้าไหน เป็นแผนเจ้าใด ก็ไปจัดกันตามแบรนด์ที่ชอบได้เลยครับ แต่ต้นตำหรับจริงๆ แอดต้องขอยกให้ Filco และ Ducky สองเจ้านี้ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตคีย์บอร์ด แมคคานิคอลมาอย่างยาวนาน แต่อาจจะหาซื้อยากเสียหน่อย แบรนด์อื่นๆ ก็พิจารณาตามใจชอบ โดยหลักๆดูดีไซน์ ฟังชั่น จำนวนคีย์แคป ว่าเป็นลักษณะใด การเชื่อมต่อ ไฟ RGB และสุดท้าย อย่าลืมดูว่าใช้คีย์แคปแบบใดด้วยนะครับ โดยคีย์แคปจะมีให้เลือกในหัวข้อถัดไป

1. สวิตซ์แบบ Linear (แบบจังหวะเดียว)

1. Cherry MX Back Switch

แบล๊กสวิตซ์เป็นสวิตซ์ที่หาพบเจอได้ไม่ง่ายนัก เพราะเป็นต้นตำหรับของสวิตซ์แมคคานิคอลเลย และเป็นสวิตซ์ที่มีการกดแบบจังหวะเดียว ที่หนักหน่วงพอสมควร ใช้น้ำหนักในการกดประมาณ 60cN (60 Centinewton) เป็นหน่วยวัดแรงกด หรือวัดเป็นหน่วยความหนักของแรงได้ราวๆ 0.0611829 กิโลกรัม ความหนักหน่วงนี้ทำให้เราต้องออกแรงกดค่อนข้างมากกว่าปกติ ทำให้อาจจเมื่อยมือได้ง่าย แต่ยอดนิยมในหมู่เกมเมอร์ FPS เพราะน้ำหนักเยอะจึงไม่ลั่นง่าย และมีความขลังในตัวพอสมควร

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Black Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Black Switch

2. Cherry MX Red Switch

เรดสวิตซ์เป็นสวิตซ์ที่พัฒนามาจากต้นตำหรับอย่างแบล๊ก ทำให้มีคุณสมบัติคล้ายกับแบล๊กทุกประการ แต่มีการปรับลดน้ำหนักการกดให้เหลือเพียง 45cN ทำให้ใช้แรงน้อยลง กดง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้แรงมากมาย และทำให้เมื่อยน้อยลงกว่าแบล๊กพอสมควร

– ฟิลลิ่งการกดจะเป็นการกดจังหวะเดียวแล้วเด้งสปริงขึ้นทันที กดหนักๆ ให้เสียงดังพอประมาณแบบจังหวะเดียว (เดี๋ยวจะมีคลิปรีวิวให้ฟังเสียงทุกๆสวิตซ์) เป็นสวิตซ์ที่พบเจอได้ในปัจจุบัน ทำให้เข้าถึงได้ง่าย และเป็นที่ยอดนิยมสำหรับเหล่าเกมเมอร์มากๆเลยครับ

 

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Red Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Red Switch

3. Cherry MX Silent Red Switch

Silent ที่แปลว่าเงียบ หรือ พิงซ์สวิต เป็นสวิตซ์ที่พัฒนามาจาก Red Switch โดยเสปคทุกอย่างใกล้เคียงกับ Red Switch แต่ถูกพัฒนามาให้เงียบมากขึ้นสำหรับคนที่รำคาญเสียงของ Red Switch สายเกมเมอร์แอบเล่น กดเงียบๆ กลัวเมียหรือแม่ด่า ก็ต้องอัพเกรดเป็นตัวนี้ล่ะครับ

 

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Silent Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Silent Switch

4. Cherry MX Speed Silver  Switch

Switch Speed สีเงินตัวนี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยเสปคต่างๆจะคล้ายๆกับ Red และ Silent เพียงแต่ว่าเค้าจะมีความเร็วในการรับและโต้กลับไวกว่าสองสวิตซ์ข้างต้นมากๆ โดยไวกว่า เรดสวิตซ์ ราวๆ 40% เลยทีเดียว สำหรับคนที่ต้องการตอบสนองไวกว่า แต่ฟิลลิ่งการกดแบบเดียวกับเรดสวิตซ์ แนะนำเป็นตัวนี้เลยแหละครับ

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Speed Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Speed Switch

2. สวิตซ์แบบ Tactile (สองจังหวะ)

มันก็เหมือนกับ หยินหยาง มีดำก็ต้องมีขาวอ่ะครับ สองสวิตซ์นี้ต่างกันสุดขั้ว Linear จะเป็นสัมผัสแบบจังหวะเดียว แต่ Tactile คือการสัมผัสสองจังหวะ กล่าวคือ เมื่อเรากดคีย์แคปเข้าไป จะได้รับการตอบสนองสองครั้ง เหมือนเรากดเข้าไปครึ่งนึง และกดอีกจะเป็นการกดให้เต็มจังหวะ สามารถใช้แรงนิดเดียวเพื่อกดครึ่งจังหวะ โดยที่คีย์บอร์ดไม่ทำงานได้ (พักมือบนคีย์บอร์ด) โดยคีย์บอร์ดแบบ Tactile นี้จะยอดนิยมสำหรับการใช้ในการพิมพ์งานเอกสารอย่างมาก เนื่องจากมีรสสัมผัสเหมือนกับการพิมพ์ดีด (ชาวออฟฟิศหลายๆคนคงชอบ)

1. Cherry MX Blue Switch

ถ้าแบล๊คคือต้นตำหรับของ Linear บลูสวิตซ์คือต้นตำหรับของ Tactile หรือ สวิตซ์แบบสองจังหวะ และยังยอดนิยมมากๆจนถึงปัจจุบัน โดยบลูสวิตซ์นั้น มีการใช้แรงกดประมาณเดียวกันกับ Black เลย คือ 60cN กดมากๆมีเมื่อยเหมือนกัน แต่จะมีสองจังหวะ เมื่อเราวางมือไปก็คือจังหวะแรกแล้ว โดยผิวสัมผัสก็จะฟินๆ เพราะเสียงของบลูนั้นช่างไพเพราะเหลือเกิน (หรือน่ารำคาญโคตรๆสำหรับมนุษย์ที่อยู่ข้างๆเรา) เสียงมันจะดัง คลิกๆ หรือเรียกกันว่า Clicky Sound ซึ่งทำให้หลายๆคน รวมถึงแอดที่ใช้ บลูสวิตซ์พิมพ์งานทุกวัน ชอบใช้มากๆ

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Blue Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Blue Switch

2. Cherry MX Brown Switch

บราวด์สวิตซ์คืออีกหนึ่งสวิตซ์ที่ฟินในการพิมพ์งานและผู้ใหญ่ๆชอบเอามากๆ (แอดเพิ่งซื้อให้คุณลุงไปเครื่องหนึ่ง ชอบมาก) ฟิลลิ่งของบราวด์จะเหมือนบลูทุกอย่าง เพียงแต่น้ำหนักจะน้อยกว่าบลูเล็กน้อย น้ำหนักอยู่ที่ 55cN ทำให้กดง่ายกดสนุกกว่าบลู เพียงแต่ไม่มีเสียง Clicky sound เหมือนบลูนั่นเอง เสียงมันก็จะเงียบกว่า บลูค่อนข้างประมาณหนึ่ง แต่ก็ฟังดีๆ อาจจะใกล้เคียง เรดสวิตซ์ แต่ก็ได้ฟิลลิ่งที่เหมาะสมต่อการพิมพ์งานเหมือนเครื่องพิมพ์ดีดเช่นเดียวกันกับบลูสวิตซ์ โดยทั้งบลูและบราวด์เอาไปเล่นเกมก็สนุกเหมือนกันนะ

 

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Brown Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Brown Switch

3. Cherry MX Clear Switch

เคลียร์สวิตซ์คือสวิตซ์ Silent ในเวอร์ชั่นของ Tactile นั่นเอง แต่มีความแข็งกว่า บลูเล็กน้อย อยู่ที่ 65cN และมีการกดแบบเดียวกับ บลูและบราวด์ อีกทั้งยังเงียบพอสมควรเลย ลดความรำคาญไปได้เยอะ สวิตซ์ตัวนี้ยังไม่ค่อยแพร่หลายในเมืองไทยเท่าไหร่นัก

 

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Clear Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Clear Switch

4. Cherry MX Green Switch

กรีนสวิตซ์ คือสวิตซ์อัพเกรดจากบลู ให้มีน้ำหนักมากกว่า และยังมากกว่าแบล๊กอีก เรียกได้ว่า ใครพิมพ์งานแล้วกลัวลั่น กลัวผิดมากๆ ต้องตัวนี้ เพราะมีความหนักถึง 80cN พิมพ์แล้วเมื่อยจัดๆ หากใครชอบรสสัมผัสของการพิมพ์ดีด และต้องการเสียงที่ไพเพราะ เสียงของกรีนสวิตซ์จะคล้ายๆกับบลู โดยรวมไพเพราะเช่นเดียวกัน สวิตซ์ตัวนี้ยังไม่ยอดนิยมเช่นกันเพราะ ยังไม่แพร่หลายมากครับ แต่โดยรวมแล้วแอดคิดว่า กดบลูต่อไปแหละ เพราะบลูก็เมื่อยแล้ว

คีย์บอร์ด Mechanical

การทำงานของ Cherry MX Green  Switch

คีย์บอร์ด Mechanical

หน้าตาของ Cherry MX Green Switch

3. คีย์แคปมีแบบไหนบ้าง มาดู

คีย์บอร์ด Mechanical

คีย์แคปที่ใช้ในการติดตั้งบนสวิตซ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากให้เสียงที่แคปกระทบกับ PCB ของคีย์บอร์ดที่แตกต่างกันแล้ว ยังรวมถึงวัสดุ คุณสมบัติ ความคงทนที่แตกต่างกันด้วย

1. คีย์แคปแบบ ABS

คีย์แคปแบบแรก คือคีย์แคปที่ใช้พลาสติกแบบ ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) คีย์แคปแบบพลาสติก ABS รู้ๆกันอยู่ว่า ABS นั้นใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลายมาก เนื่องจากเป็นพลาสติกเกรดถูก และใช้ในคีย์บอร์ดทั่วไปบางรุ่นด้วย ถึง ABS จะมาราคาถูก แต่ก็ดีกว่า แคปแบบยางมากๆ แคปแบบ ABS เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า อาการผิวมันเงา มันวาวหรือถ้าเกรดต่ำกว่านี้อาจจะ ปริ้นสกรีน ตัวอักษรลงบนผิวของแคป และเมื่อใช้งานมากๆ อาจจะทำให้ ตัวอักษรที่สกรีนลอกและจางลงได้

แคปแบบดูได้ง่ายมาก แทบจะ 90% หากผู้ผลิตคีย์บอร์ดไม่ได้บอกอะไร ส่วนใหญ่จะเป็น ABS ทั้งนั้น แต่ถ้าหากเราไม่ชอบ ก็สามารถเปลี่ยนได้นะอยู่แล้ว

 

คีย์บอร์ด Mechanical

 

2. คีย์แคปแบบ PBT

คีย์แคปแบบสองคือ PBT จะใช้พลาสติกแบบ PBT (polybutylene terephthalate) ที่มีความหนักแน่น และดูทนทานมากกว่า ABS แบบเห็นได้ชัด โดยสีของ PBT จะมีความเรียบมากกว่า ABS ส่วนใหญ่ ผิวสัมผัสก็จะออกสากๆเล็กน้อย โดย PBT นั้นแตกต่างจาก ABS พอสมควร แต่หลักๆเลยคือ เสียงแคปกระทบกัน ของ PBT จะมีเสียงอีกแบบซึ่งแตกต่างจาก ABS แบบถ้าฟังดีๆ จะได้รับฟังถึงความต่างเลยทีเดียว

 

คีย์บอร์ด Mechanical

 

3. คีย์แคปแบบ Double Shot

คีย์แคปแบบ Double Shot คือการผลิตคีย์แคปสองชั้น โดยเป็นการเลเซอร์ตัวอักษรลงบนเนื้อพลาสติกเลย โดยมีทั้ง ABS Double Shoot และ PBT Double Shot ทำให้ปุ่มสามารถมีไฟลอดขึ้นมาได้ โดยการทำ Double Shot นั้นจะทำให้แคปมีราคาสูงขึ้น อีกทั้ง ABS ใช้ทำก็มีหลายเกรด เกรดที่สูง ทน และแพงพอๆกับ PBT ก็มีเช่นกัน โดยการทำ Double Shot จะทำให้ไฟ RGB สวยงามมาก และยอดนิยมในคีย์บอร์ดแมคคานิคอล เกมเมอร์มากๆ

คีย์บอร์ด Mechanical

semi mechanical งบน้อยก็ลุยได้

         คีย์บอร์ดอีกแบบที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะมีความนิยมขึ้นอย่างมาก ก็คือ Semi Mechanical โดยเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้เป็นเหตุผลทางการตลาดนิดหน่อย จึงสถาปณาตัวเองเป็น Mechanical ได้แล้วแต่ข้อเท็จจริงแล้ว Semi Mechanical นั่นก็คือคีย์บอร์ดที่ใช้แผ่นยาง Rubble Dome เหมือนคีย์บอร์ดเท่าไปนี่เอง เพียงแต่ว่าถูกอัพเกรดให้มีฟิลลิ่งคล้ายกับ Red Switch ของ Mechanical 

คีย์บอร์ด Mechanical

        Semi Mechanical นั้นก็ยอดเยี่ยมในเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้คีย์บอร์ดยางธรรมดาๆ ถูกอัพเกรดให้มีความคล้าย มีเสียงที่ดังฟังชัด และไฟสวยงาม ลูกเล่นแพรวพราว มีความเป็นเกมเมอร์ขึ้นอย่างมาก และที่สำคัญมีราคาถูกมากๆ สามารถจับต้องได้ในงบหลักร้อย ถือว่าคุ้มสำหรับคนที่อยากลองคีย์บอร์ดฟิลลิ่งคล้าย Mechanical  แต่งบน้อย เพราะ Mechanical Switch ดีๆ ต้นทุนสูงมาก พื้นฐานก็ต้องงบหลัก สองพันอัพ  เจ้า Semi นี้จึงถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆครับ แต่ต้องทำใจยอมรับข้อนี้ คือพื้นฐานของ Semi Mechanical  ยังคือคีย์บอร์ดยางนั่นเอง

คีย์บอร์ด Mechanical

        ทำให้หลายคนอาจจะเคยใช้และไม่ถูกใจ และตีตรา คิดว่า Mechanical นั้นไม่ดี มีดีแค่เสียงดัง นั้นไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ เพราะมีส่วนประกอบที่ยังเป็นยางอยู่ ทำให้ฟิลลิ่งบางอย่างก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับ Mechanical ของแท้ๆ ที่ทำงานแบบแยก Switch กัน ได้อย่างแน่นอน อย่าเพิ่งเข้าใจผิด และลองไปจับ Mechanical และเลือก Switch ที่ถูกใจคุณ แบบจริงๆจังๆดูสักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักเลยแหละ

 

                   เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของ แมคคานิคอล แอดหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่กำลังพิจารณาเลือกซื้อ Mechanical ตัวเก่งอยู่ คงจะตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้นเลยนะครับ อย่างไรก็ตามหากชอบบทความอย่าลืมติดตามเพจ GagangTech และช่อง Youtube GagangTech เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วย อย่าลืมไปร่วมงาน Commart 2021 งานแรกของปีที่รวบรวมคีย์บอร์ด แมคคานิคอลมากมายให้เลือกสรร กันอย่างตามใจชอบ รับรองได้กลับมาทุกคนแน่ สุดท้าย ม้าก็ต้องช้ากว่าลา เพราะว่า ลาไปก่อน สวัสดีครับ 🙂

 

อ่านบทความนี้ ชอบไฟ RGB รึเปล่า? ถ้าชอบ มาดูก่อน RGB มีกี่แบบ แต่งคอมยังไงให้โดน!!

 

 

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.