ครบรอบ 10 ปี ของอุปกรณ์ยอดฮิตอย่าง IPAD ไปแล้วในวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา วันนี้ แอดมิน จึงขอเขียนบทความเกี่ยวกับ
สรุป 10 ข้อที่เหมือนและแตกต่างกันของ iPad Air 4 กับ iPad Pro 2020
นับว่าเป็นการเปิดตัวที่มีคาดการณ์มาอย่างหนาหู สำหรับ Ipad AIR 2020 หรือ Ipad Air รุ่นที่ 4 รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ที่ผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก มีข่าวลือออกมาจากหลายสำนักว่า จะมีการปรับปรุง Ipad Air รุ่นใหม่นี้ โดยก่อนเปิดตัว ก็มีหลายเสียงถกเถียงกันอย่างมาก ว่าจะเป็นแบบนี้จริงหรือ?
เช่น “Ipad Air 2019 เพิ่งออกเองนะ รุ่นใหม่ไม่มีทางออกมาติดกัน ปกติ Ipad Air จะเว้นช่วงนาน”
บ้างก็บอกว่า “ออกมาทรงนี้ ทับไลน์รุ่นโปร แน่นอน รุ่นโปรจะขายอย่างไร”
บ้างก็บอกว่า โปรซื้อ Ipad แถม Airpod ของ Apple store ที่ผ่านมาเป็นการเคลียร์สต๊อกรุ่นเก่า เพื่อเตรียมเปิดรุ่นใหม่
และในที่สุด Ipad Air 2020 ก็ได้เปิดตัวจริงๆ และข้อมูลการเปิดตัวค่อนข้างตรงกับหลายสำนักด้วย โดยเจ้า Ipad Air รุ่นนี้เริ่มต้นราคาอยู่ที่ 19,900 บาท ในรูปทรงที่แทบจะลอกเลียนแบบ Ipad Pro มาแทบทุกอย่าง
ในวันนี้ แอดมิน จะมาวิเคราะห์กันว่า Ipad Air 2020 และ Ipad Pro 2020 มีอะไรที่เหมือน และแตกต่างกันบ้าง เพื่อเป็นตัวช่วยตัดสินใจให้ใครๆที่กำลังจะซื้อ Ipad ไปใช้งาน ใช้เรียน ในยุคโควิท ควรจะเลือกรุ่นไหนกันดี ถ้าพร้อมแล้วก็ ไป!!!
สิ่งที่เหมือนกัน ใน iPad Air 4 กับ iPad Pro 2020
1. IPA AIR 4 กับ Ipad pro 2020 มี Design ภายนอกเหมือนแบบ .. เป๊ะๆ!!
หลังจาก APPLE เคลียร์สต๊อก ดีไซน์เดิมที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณของตนเอง ได้สมใจอยากแล้ว จึงได้เวลาเปลี่ยนแปลง Ipad Air ให้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่เสียที โดยเป็นการเปลี่ยนดีไซน์ให้เหมือนกับ Ipad Pro แบบเป๊ะๆ เลยทีเดียว ทั้งในส่วนของบอดี้ ที่เป็นกรอบทรงเหลี่ยม ( แบบคลาสิกที่เคยใช้ ใน Iphone 4 – 5s) วัสดุอะลูมิเนียม และตัดปุ่ม โฮมออก ทำให้มีพื้นที่ของจอ แบบเต็มกรอบสวยงาม ใครที่ต้องการดีไซน์ขอบเหลี่ยมแบบนี้ Ipad Air ปรับแล้วนะ!!
2. Ipad air 4 กับ ipad pro 2020 สามารถใช้อุปกรณ์ใช้ร่วมกันได้แบบ ..เป๊ะๆ
นอกจากปรับดีไซน์แล้ว ยังสามารถใช้อุปกรณ์ทุกอย่างร่วมได้ด้วยนะ
เริ่มต้นจากพอร์ตชาร์จแบบใหม่ เป็นแบบ USB-C ทำให้ชาร์จไวขึ้น และถ่ายโอนข้อมูลเร็วขึ้นกว่าพอร์ตโบราณอย่าง Lightning ใน Ipad Air รุ่นก่อน ที่มักจะมีปัญหาเรื่องการชาร์จช้า ถ่ายโอนข้อมูลช้า
รวมถึง การตัดพอร์ตหูฟังออกเช่นเดียวกับ Ipad pro ทำให้การต่อหูฟังจะต้องต่อผ่านเทคโนโลยีไร้สายอย่าง Bluetooth เท่านั้น แต่ถ้าหากเพื่อนๆ ต้องการต่อแบบเดิม Apple ก็จะมีพอร์ตแปลงมาให้ สามารถซื้อแยกได้
อุปกรณ์สำคัญอย่าง Apple Pencil Gen 2 ใช้ร่วมกันได้กับ Ipad Pro ได้เลย หมายความว่า Ipad Air ตัวนี้จะใช้การชาร์จ Apple Pencil แบบแปะแถบแม่เหล็ก ชาร์จได้ทันที นั่นเอง รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น Magic Keyboard หรือ Smart Keyboard Folio ก็สามารถใช้ร่วมกันได้
3. มีสีให้เลือกเหมือน IpaD PRO แบบ เป๊ะๆ และยังมีสีใหม่น่าสนใจและสวยงามมากกว่าสีของ IPAD PRO!!
IPAD AIR 2020 เปิดตัวได้อย่างโดนใจวัยรุ่น ด้วยสีสันจัดจ้านมากมายถึง 5 เฉดสี และยังรวบรวมสีที่มีใน IPAD PRO 2020 ไว้ด้วย นั่นหมายความว่า หากต้องการซื้อสีโทนเดียวกับ IPAD PRO อย่าง เทาสเปซเกรย์ (Space Grey) และ สีเงินคลาสสิก (Silver) คุณก็สามารถเลือกซื้อได้
แต่ถ้าหากไม่พอใจในสีสองสีนี้ละก็ มีตัวเลือกเพิ่มให้อีกนั่นคือ สีโรสโกลด์แบบใหม่ (ดูชมพูกว่าเดิม) , สีเขียว และสีสกายบลู ซึ่งทั้งสามสีนี้ เป็นสีที่สวยงามทุกสี เรียกได้ว่า สาวๆที่อยากได้ Ipad ไปโชว์สวยๆ คงเลือกกันไม่ถูกเลยล่ะ!!
สิ่งที่แตกต่างกัน ระหว่าง IPAD PRO 2020 กับ IPAD AIR 4
1. ราคาเริ่มต้นแตกต่างกัน ความจุเริ่มต้น ก็แตกต่างกัน
IPAD AIR 2020 เปิดตัวมาด้วยราคาอย่างที่บอกคือ 19,900 บาท ซึ่งต่ำกว่า IPAD PRO 2020 มากถึง 8,000 บาท (IPAD PRO เริ่มต้น 128GB ราคา 27,900 บาท)
แต่ทั้งนี้ IPAD AIR ราคาเริ่มต้น จะได้ความจุที่ 64GB เท่านั้น ซึ่งถ้าหากคุณอย่างได้ความจุเริ่มต้นที่มากกว่า ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็น 24,900 บาท และจะได้ความจุกระโดดมากไปถึง 256GB เพราะ IPAD AIR ไม่มีรุ่น 128GB เท่านั้น ก็จะดู มากเกินไปอีก (การตลาดของเขา)
นั่นหมายความว่าในรุ่นที่ความจุ 256GB คุณจะต้องเพิ่มเงินขั้นต่ำคือ 5000 บาท หลายคนอาจจะบอกว่าซื้อรุ่นโปรไปเลย แต่อย่าลืมว่า รุ่นโปรคุณจะต้องยอมลดความจุเป็น 128GB และเงิน 5,000 คุณสามารถซื้อ Apple Pencil Gen 2 ได้ และซื้อ อุปกรณ์เสริมอื่นๆเพิ่มได้อีกมากมาย อาทิเช่น เคส หรือ พอร์ตแปลงต่างๆ
ทั้งนี้ ในรุ่นความจุ 64GB จะทำให้คุณประหยัดเงินไป 8,000 บาท ซึ่งก็ไม่ได้แย่ เพราะสมัยนี้ใครๆ ก็สามารถเก็บข้อมูลผ่านคลาวด์ (Google Drive) และฟังเพลง ดูหนัง ผ่านการสตรีมมิ่งวีดีโอ (Streaming Video) อาทิเช่น Netflix , Youtube , Joox Music พวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อที่อยู่แล้ว รวมถึงการเก็บข้อมูลแอพพลิเคชั่น ต่างๆ 64GB ยังพอเหลือใช้อยู่
แต่สำหรับใครต้องการตัดต่อ ทำงานจริงจัง เก็บข้อมูลแทนคอมพิวเตอร์ ต้องหันไปซบ 128GB ขึ้นไปแล้วล่ะครับ
2. Ipad air 4 กับ ipad pro 2020 มีหน้าจอแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ
แน่นอนว่า IPAD AIR 2020 รุ่นนี้ดูเผลินๆมีจอภาพที่เหมือนกับ IPAD PRO 2020 เลย ใช่ครับ IPAD AIR 2020 นี้มีจอภาพแสดงผลคือ Liquid Retina Display และเทคโนโลยีแสดงผลแบบ True Tone เหมือนกับ IPAD PRO เด๊ะๆ
ซึ่งจอภาพแบบ Liquid Retina Display คืออะไร อธิบายไว้ในนี้ แต่ไม่ใช่แค่นั้นครับ สิ่งลี้ลับที่ซุกซ่อนระหว่างหน้าจอของ IPAD PRO คือ
1. IPAD PRO แสดงผลโดยใช้เทคโนโลยี PRO MOTION
คือการแสดงผลโดยความเร็วหน้าจอแบบ 120Hz มีผลอย่างไรบ้าง? มีผลทำให้ IPAD PRO จะสามารถใช้งานได้อย่างสมูทมากกว่าหน้าจอ ของ IPAD AIR ทั้งการ ลาก ขีด เขียน หรือ เล่นเกมก็จะเห็นศัตรู หมุน เปลี่ยนมุมกล้อง เคลื่อนไหวแบบเร็วๆ ได้ไวกว่าศัตรู จะมีความสมูท สบายตามากกว่า IPAD AIR ต้องบอกเลยว่าใครที่เคยใช้ PRO Motion ของ IPAD PRO รุ่นก่อนๆ จะติดใจจนไม่อยากกลับไปใช้จอแบบเดิมอีกเลย
2. ขนาดจอ IPAD AIR มีขนาดเดียวคือ 10.9 นิ้ว
ซึ่งเล็กกว่า IPAD PRO รุ่น 11 นิ้ว นิดเดียว ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่มองเผลินๆจะเห็นว่าขอบจอของ IPAD AOR 10.9 แอบใหญ่กว่านิดหน่อย รวมถึงมีขนาดเดียว เพราะฉะนั้นหากใครต้องการจอใหญ่มากๆ ต้องไปเล่น IPAD PRO รุ่น 12.9 นิ้ว เท่านั้น
3. ชิปประมวลผล มวยคนละรุ่น!! ชิปใหม่ล่าสุด vs ชิปเก่าแต่เก๋ามาก
อย่างที่ทราบกันไปครับว่า เป็นเรื่องดีงามมากที่ Apple เลือกใช้ชิปประมวลผล (CPU) รุ่นล่าสุดอย่าง Apple A14 Bionic ให้แก่ IPAD AIR 2020
ซึ่งทำให้ IPAD AIR 2020 นั้นแรงไม่น้อยหน้า Iphone 12 เลยทีเดียว (ซึ่งปกติ Apple จะวางให้ Iphone ใช้ชิปเสปคสูงกว่า Ipad Air) พอครั้งนี้ได้ชิปประมวลผลเดียวกัน ทำให้ทุกคนหันกลับไปมองว่า แล้ว Ipad PRO 2020 ล่ะ ยังใช้แค่ A12Z Bionic อยู่เลย
เมื่อดูตัวเลขเผลินๆ แล้ว อาจจะคิดว่า A14 นั้นดีกว่า A12 ทุกอย่าง ไม่ใช่นะครับ A14 Bionic ตัวปกตินั้น เป็นชิปสถาปัตยกรรม ARM >> สถานปัตยกรรม ARM คืออะไร? << ที่ผลิตมาสำหรับสมาร์ทโฟน และเนื่องจาก สมาร์ทโฟนนั้น มีปริมาณแบตเตอรี่ที่น้อยกว่า แท๊บเล็ตหรือแลปท๊อปอย่างมาก ทำการสร้างชิปให้มีความเร็ว ความแรง และเสปค จะต้องมีความสัมพันธ์กับปริมาณของ แบตเตอรี่ ใน อุปกรณ์เหล่านี้
ส่งผลให้ Apple A14 Bionic ถูกจัดให้อยู่ในชิปที่ต้องประหยัดพลังงานอย่างมาก ความแรงของชิปจึงต้องถูกจำกัด จะได้ไม่ซดแบตเตอรี่มากเกินไป
แต่ข้อดีของ A14 Bionic คือเป็นเทคโนโลยีการผลิตใหม่แบบ 5nm จึงยิ่งทำให้ A14 ประหยัดแบตมากขึ้นไปอีก และภาพรวมแรงกว่ารุ่นเก่า อย่าง A13 หรือ A12 Bionic แต่ไม่ใช่ทั้งหมดกับ A12 รหัส Z ของ Apple
เพราะ A12Z นั้นเป็นชิปอีกเกรดนึงของ Apple ซึ่งถูกวางให้สามารถใช้ได้ในระดับเดียวกันกับ อุปกรณ์แลปท๊อปอย่าง Macbook นั่นเอง
หากสังเกตุให้ดีๆ อปุกรณ์อย่าง Iphone จะใช้ชิปประมวลผล ที่เป็นตัวเลขโดดๆ เช่น A10 A12 A3 แต่ Ipad รุ่น Pro จะใช้ ชิปประมวลผลที่มีตัวอักษรต่อท้ายเสมอ อย่าง A10x Fusion หรือ A12x A12z Bionic ซึ่งเป็นตัวที่แรงกว่าเสมอ
นั่นเพราะว่า Ipad pro ถูกวาง Segment การใช้หน่วยประมวลผล ให้สูงกว่า Iphone เพียงแต่ Iphone นั้นจะได้ ชิปประมวลผลที่ทันสมัยกว่าเสมอ (เพราะออกทุกปี)
โดยเจ้าชิป A12z นี้ไม่จำเป็นต้องสนใจการประหยัดพลังงานมากเท่าไหร่ (แต่ก็สนใจนะ) แต่สนใจในเรื่องของความแรงมากกว่า A12Z นั้นถูกใส่ไว้ใน Ipad PRO เพื่อสามารถทำงานระดับฮาร์ดคอร์ และ Professional ได้อย่างไม่มีปัญหา
เช่น การตัดต่อวีดีโอแบบความละเอียดสูง การสตรีมหน้าจอพร้อมกับเล่นเกมไปด้วย การออกแบบโมเดล สามมิติ การเขียนแบบ ซึ่ง A12Z นั้นพูดกันตรงๆ มันคือการทดลองพัฒนาสถาปัตยกรรม Arm ให้แรงเทียบชั้น CPU คอมพิวเตอร์ x86 ให้ได้ A12Z คือหนึ่งในชิปแรงที่ว่านั่น ก่อนที่จะเกิด Apple M1 ขึ้นมาใน Macbook ในปัจจุบันนี้
กล่าวคือสามารถทำได้แทบทุกอย่างเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนึงเลย ไม่ใช่แค่ ใส่ไว้ในแท๊บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนเพื่อเอนเตอร์เทรนด์อย่างเดียว (เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่พร้อม จึงเอาใส่ในระบบ IPAD ก่อน มันจึงมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับ Macbook)
ดังนั้น ชิปเซ็ท A12Z จึงร้อนแรงกว่า และคำนวนงานเฉพาะทางได้ดีกว่า A14 ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะล้าหลังกว่าถึง 2 ปี แต่ในการใช้งานแบบ Multi Core A12z ยังให้ผลคะแนนที่มากกว่า A14 อยู่ แต่ถ้าหากใครไม่ได้ซีเรียสตรงนั้น การใช้งานแบบ Single Core เจ้า A14 ก็สามารถทำได้ดีกว่าเล็กน้อย และประหยัดพลังงานกว่า สดใหม่กว่า (เดี๋ยวคงมี A14x หรือ A14z ออกมาแหละ)
> Multicore , Single Core คืออะไร เรื่องควรรู้ของคนใช้เทคโนโลยี <<
4. เรื่องมุบมิบของเสปคภายใน เช่น ชิปกราฟฟิค แรม และประมาณแบต
เสปคที่ Apple ไม่เคยคิดจะเปิดเผย ในเว็บ Apple Store เลยคือเสปคเหล่านี้แบบละเอียดยิบ แต่ไม่ต้องห่วง แอดจะเปิดเผยให้ทั้งหมด โดยการเปิดเผยเสปคข้างในเหล่านี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลมากจากเว็บไซต์ที่ทำการชำแหละ ฮาร์ดแวร์ข้างใน IPAD เหล่านี้ และเปิดเผยเสปคภายใน เริ่มต้นจาก
1. Battery มีเสปคและอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 9-10 ชั่วโมงความต่างกันไม่มาก โดยมีปริมาณอยู่ดังนี้
ฺ- IPAD AIR 2020 : 7606 mAh
-ฺ IPAD PRO 2020 : 7812 mAh
2. GPU (ชิปกราฟฟิค)
มีความต่างกันมาก โดยเจ้า Ipad PRO จะได้รับชิปกราฟฟิคที่เสปคที่สูงกว่า Ipad Air อย่างมาก ทำให้เล่นเกมหรือทำงานกราฟฟิคได้อย่างไหลลื่นมากกว่าอย่างแน่นอน
ฺ- IPAD AIR 2020 : APPLE GPU 4-core Graphic
– IPAD PRO 2020 : APPLE GPU 8-core Graphic
3. ความจุของ Ram เครื่อง (Memory)
มีความสำคัญทำให้เปิดหน้าจอแบบ Multi Tasking หรือ ทำงานพร้อมๆกัน เปิดแอปพร้อมๆ พักแอป ย่อแอปกลับมาใช้งานโดยไม่มีการรีสาร์ทแอปใหม่ สลับใช้ต่อได้ทันที โดย IPAD PRO ได้ความจุแรมที่มากกว่า และแทบจะใกล้เคียงคอมพิวเตอร์เลยครับ
-ฺ IPAD AIR 2020 : 4 GB
ฺ- IPAD PRO 2020 : 6 GB
จะเห็นได้ว่ามีหลายอย่างภายในแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางอย่างอาจจะทำให้ตัดสินใจได้เลยนะครับ
5. ลำโพงแบบ Stereo Surrounded 4 ลำโพง บนล่างซ้ายขวา อรรถรสที่หาได้เฉพาะใน IPAD PRO เท่านั้น
การได้ดูหนังฟังเพลง ด้วยลำโพง Stereo Surrounded แบบรอบทิศทาง ด้วยระบบเสียงแบบ ลำโพง 4 ลูก บน ล่าง ซ้าย ขวา ที่ให้ความดังแบบรอบด้านและอรรถรส ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นประสบการณ์ดีๆ ของหูคนเรา โดยที่ไม่ต้องไปหาลำโพงมาต่อแยก หรือหาหูฟังมาใช้เพิ่ม
โดยลำโพงอันยอดเยี่ยมนี้ ถูกใส่ไว้ใน Ipad แค่ในรุ่น PRO เท่านั้น และรุ่น Pro ทุกรุ่น ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า ก็ยังมีความโดดเด่นของ ระบบเสียงที่ดีเยี่ยมมาโดยตลอด เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จาก Ipad Air ที่ให้ระบบเสียงมาแค่ 2 ลำโพงด้านล่างเท่านั้น
แต่ถ้าหูของคุณ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเสียงมากมาย ก็ไม่ต้องสนใจข้อนี้ก็ได้ครับ เพราะลำโพงใน Ipad Air ก็คุณภาพดีเหมือนกัน หรือถ้ามีลำโพงหรือหูฟังคู่ใจที่ดีกว่า ลำโพงใน Ipad Pro อยู่แล้ว ก็ตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย
6. กล้องแบบใช้งานได้ vs กล้องแบบโปร พร้อม Lidar Scanner
โดยปกติแล้วการยก IPAD ขึ้นมาถ่ายรูปอาจจะดูเตะตาหรือประหลาดเลยทีเดียว และข้อนี้อาจจะไม่ค่อยสำคัญสำหรับคนที่มี Iphone คู่ใจอยู่แล้วอย่าง Iphone 12 และ Iphone 11 ที่มีระบบกล้องที่ยอดเยี่ยม ใครมีแล้วข้ามข้อนี้ได้เลย แต่ถ้าใครยังไม่มีล่ะก็ และสนใจการถ่ายรูปถ่ายวีดีโอใน IPAD อยากให้ลองอ่านสักนิด
เสปคกล้องของ IPAD PRO 2020 ยกเซ็ทมาจาก IPHONE 11 แทบทั้งหมด และเพิ่ม LIDAR SCANNER มาให้ด้วย รองรับการถ่ายวีดีโอสูงสุดที่ 4K โดยเสปคจะมีกล้องทั้งหมด 3 และเซ็นเซอร์ 1 ตัว คือ
1. กล้องหลัง เลนส์แบบ Normal ความละเอียด 12MP F1.8
2. กล้องหลัง เลนส์แบบ Ultra Wide ความละเอียด 10MP F2.4
3. กล้องหน้าแบบ 7MP (มีความกว้าง มาก Ipad Air เล็กน้อย)
4. เซ็นเซอร์ LiDAR SCANNER ทำให้สามารถคำนวนระยะทางของวัตถุและพื้นหลังได้แม่นยำขึ้น ทำให้การถ่ายรูปสามารถโฟกัสได้เฉียบคมและแม่นยำมากขึ้น มีการละลายหลังที่มีคุณภาพมากขึ้น
ส่วนทางด้าน IPAD AIR จะมีกล้องทั้งหมด 2 ตัวคือ กล้องหลัง 12MP ตัว กับกล้องหน้า 7MP (แบบดั้งเดิม) มีแค่เพียงเท่านี้ อย่างที่บอก หากไม่ซีเรียสเรื่องกล้อง ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ เพียงแต่จะไม่ได้รับประสบการณ์ Ultra Wide และ LiDAR Scanner เท่านั้น
>> เปิดประสบการณ์ถ่ายรูปด้วยเลนส์แบบ Ultra Wide ดีอย่างไร
7. Touch ID แบบใหม่ ไฮไลท์ของ IPAD AIR แต่ก็ถูกตัด Face ID ทิ้งไปด้วย..
ต้องบอกเลยว่า ประสบการณ์ Face ID ก่อนการเกิดวิกฤตการณ์ COVID-19 นั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะการ ปลดล๊อกหน้าจอที่รวดเร็ว สะดวกสบายเพียงยกสมาร์ทโฟนมาสแกนหน้า ทำให้หลายๆคนติดใจไปเลย นั่นคือสิ่งที่ถูกใส่ไว้ใน Ipad PRO 2020 เหมือนกันครับ
ทำให้การเปิดเครื่อง IPAD PRO เพื่อใช้งานนั้นง่ายมากๆ และสะดวกสุดๆ แต่พอถึงวิกฤต COVID-19 ทุกคนล้วนใส่หน้ากาก ใช้งานอุปกรณ์ IT ทำให้สแกนหน้าไม่ติดต้องใส่พาสเหมือนเดิม อาจจะเป็นเรื่องน่าชวนหงุดหงิดไม่น้อย
IPAD AIR จึงเพิ่มฟีเจอร์(ใหม่?) ด้วยการย้าย Touch ID จาก ปุ่ม Home ไปไว้ที่ปุ่มล๊อกเครื่องด้านบนแทน ทำให้สามารถใส่หน้ากาก และแสกนนิ้วได้ง่ายและสะดวกดังเดิม (จากที่ลองเล่นปุ่ใอันแอบคมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย กลัวบาด)
และทำให้ไม่ต้องมี ปุ่ม Home ที่โบราณและเกะกะด้วย แต่ก็ทำให้ถูกตัด Face ID ไม่สามารถสแกนหน้าอย่าง IPAD PRO ได้เช่นกัน (ใส่มาทั้งคู่ไม่ได้สินะ?) เพราะฉะนั้นต้องเลือกแล้ว ระหว่าง Touch ID หรือ FACE ID แบบไหนที่เหมาะสมสำหรับคุณ
อย่าลืมกดไลค์และกดติดตาม ในเฟสบุคส์ >> GagangTech และ Youtube GagangTech จะได้ไม่พลาดข่าวสารและกิจกรรมดีๆ นะครับ
บทความยอดนิยม >> PCIe 4.0 ต่างกับ 3.0 อย่างไร
– It’s Up to you –
เลือกสิ่งที่คุณชอบ