หลายคน คงติดภาพจำไปแล้วว่า Windows 10 ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น คงเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เวอร์ชั่นสุดท้ายแล้ว หลังจาก Microsoft เคยประกาศว่า Windows 10 จะเป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย และก็มีอัพเดทมาให้ถี่ยับทุกวี่ทุกวัน..
แต่ก็ใครจะไปทราบครับ ว่าทุกอย่างเหนือความคาดหมาย เมื่อมีคนไปพบเจอว่า Microsoft ได้แอบประกาศว่า Windows 10 จะยุติการให้การอัพเดท ในวันที่ 14 ตุลาคม ปี 2568 หรืออีก แค่ 4 ปีต่อไป นั่นเอง พร้อมกับข่าวการมาใหม่ของ Windows รุ่นใหม่ ที่อาจจะใช้ชื่อว่า Windows 11 ที่จะเปิดตัวในวันที่ 24 มิถุนายน 2564 เร็วๆนี้!!
Windows 11 กับดีไซน์กึ่งใหม่ อัพเดทความเป็นเทรนด์ในปี 2021 เน้นความ Minimal อย่างลงตัวมากขึ้น
ต้องขอเกรื่นก่อนนะครับ ว่า ก่อนที่แอดจะได้ลอง Windows 11 นั้นก็ต่างมีภาพหลุดมาจากหลายสำนักเลย โดยเท่าที่เห็นความแตกต่างนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเน้นไปในเรื่องของ ดีไซน์ User Interface (UI) ซะมากกว่า โดยฟีเจอร์อื่นๆ นั้นยังไม่ทราบข้อมูลมากนัก
สำหรับ Windows 11 ที่แอดได้ทดลองลงนั้นเป็นเวอร์ชั่น Build 21996.1 ซึ่งก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าอัพเดทมาถึงไหนแล้ว แต่เท่าที่ดูเกี่ยวกับ User Interface หรือ หน้าตาของโปรแกรม หลายๆอย่าง ก็เปลี่ยนไปพอสมควร เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาชมกันเลยครับ
1. Windows 11 กับความโค้งมนสไตล์ Minimal
อย่างแรกเลยนะครับ คือ Windows 11 มีออกแบบและปรับเปลี่ยน โลโก้ (Logo) ใหม่ ให้มีความโค้งมน มากขึ้นตามยุคตามสมัย อีกทั้ง ไอคอน (Icon) ต่างๆ ยังมีการปรับเปลี่ยนให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ในส่วนนี้ แอดให้ความเห็นว่า มันค่อนข้างที่จะสวยกว่า Windows 10 จริงๆ ทั้งเรื่องของการเลือกใช้ สี การออกแบบรูปภาพ มันดูลงตัวและดูมีความเป็นโปร มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ทุกอย่างยังคงเดิมครับ (ในเวอร์ชั่นนี้)
Logo Windows 11 ในหน้าจอตอน Boot เครื่อง แบบใหม่
หน้าตา Icon แบบใหม่หมด ดูโปรกว่าเดิม
2. Windows 11 กับ Taskbar แบบกึ่งเก่า กึ่งใหม่ แต่ทำไมมันคล้ายกับผลไม้เลยนะ
การจัดวางปุ่ม Start Menu และ Taskbar แบบใหม่
อย่างที่สอง คือ มีการจัดวาง Taskbar ซึ่งเป็นส่วนด้านล่างสุด ที่ทุกคนเอาไว้ใชกดสลับหน้าโปรแกรมนั่นแหละครับ มีการย้ายปุ่ม Start Menu มาไว้ตรงกลาง
จากเดิม ที่ ปุ่ม Start Menu ไม่สามารถเคลื่อนย้ายเปลี่ยนตำแหน่งได้ หากเปลี่ยนตำแหน่งต้องเปลี่ยนทั้งหมดแถบ เป็นมานานหลายสิบๆ ปี แต่วันนี้ Windows 11 ย้ายทุกอย่างมาไว้ Center แล้ว แต่ถ้าใครไม่ชอบ เราก็สามารถเปลี่ยนกลับไปให้มันไปอยู่ริมขวาสุดได้เหมือนเดิมนะ
สามารถย้าย Start menu กลับไปที่เดิมได้ แต่จะคล้าย Windows 10 ทันที
รวมถึงเหล่าโปรแกรมต่างๆ ที่ถูกจัดวางตรงกลางเช่นเดียวกันกับปุ่ม Start ทั้งนี้ เมื่อคลิกเข้าไปใน Start Menu ก็จะถูกปรับปรุงใหม่ให้มีความสวยงามแบบ Mininal ยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าแทบจะสลัดสไตล์เดิมที่เป็น Metro UI ออกไปหมดเลย (แต่เอ๊ะ.. มันแลดูคล้ายๆ ผลไม้มากเกินไปรึเปล่า?)
เมื่อเปิดโปรแกรม จะจัดเก็บดู Minimal กว่าเดิม
สามารถปรับแต่งได้เหมือนกับ Windows 10 ทุกอย่าง
ปรับได้เหมือนกัน แต่ดูลงตัวกว่า Windows 10 นะ
Dark Mode แบบเรียบๆ ดูดีไปอีกแบบ
3. Windows 11 กับหน้าตาคำแนะนำก่อนเริ่มเข้าใช้งานแบบใหม่ Wow!!
อย่างที่สาม คือมีการออกแบบหน้าต่างคำแนะนำ และตั้งค่าเมื่อเราเริ่มต้น Windows ครั้งแรกแบบใหม่ เรียกได้ว่า สวยงามมากๆ (มีเสียงแบบใหม่ด้วยนะ)
โดย รูปแบบนั้นจะเป็นสไตล์ที่คล้ายคลึงกับรูปแบบระบบใน Smartphone เลย มีความสวยงามน่าใช้งาน มากกว่าเดิมพอสมควรเลยครับ
หน้าต่างตั้งค่า Email สวยงามกว่าเดิมมากครับ
หน้าต่างตั้งค่า Email ของเก่าสไตล์ Metro UI
4. Windows 11 กับเรื่องของ App พื้นฐานและการใช้งาน
หน้า All App พื้นฐานยังมีให้ครบถ้วน
ในเวอร์ชั่นทดลองนี้ นอกจากหน้าตาที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ทุกๆอย่าง ยังคล้ายๆเดิมอยู่ เช่นการตั้งค่า (Setting) หน้าต่างเครื่องมือต่างๆ โปรแกรมพื้นฐานที่ยังมีเหมือนเดิม และมีโปรแกรมพื้นฐานมาให้ครบถ้วนและมีโปรแกรมใหม่มาบ้างเล็กน้อย เช่น Facebook Messenger หรือแม้กระทั่ง Spotify กับ Netflix ซึ่งเมื่อลองกดเข้าไปจะพบว่ามีการทำงานเป็นโปรแกรมเล็กๆ โปรแกรมหนึ่ง จากเดิมที่ App พวกนี้มักจะขยายหน้าจอใหญ่ และใน Windows 8 เป็นการสลับไป Metro UI ทันที หมายความว่า อนาคต อาจจะมีแอพจาก Smartphone มาครบๆ และทำงานแบบเดียวกันกับในโทรศัพท์ได้อย่างดี และมีแอพมากกว่าปัจจุบันก็เป็นได้ครับ (แต่อย่างไรคนส่วนใหญ่ก็มักจะใช้งานบน Browser มากกว่า)
โดยรวมหากคุณคุ้นเคยกับ Windows 10 แล้วการใช้งานนั้นไม่ต่างกันมากสักเท่าไหร่ เพียงแค่ใน Windows 11 นั้น ดูเหมือนว่าจะ “เลือกทาง” ได้แล้วว่าจะเดินไปทางไหน นั่นก็คือ การทำให้ Mobile และ PC ใช้งานเหมือนกันไปเลย ด้วย UI เดียวกันที่ เฟรนลี่ต่อผู้ใช้งานทั้งสองฝั่ง แม้จะคนละอุปกรณ์ก็ตาม
และในเวอร์ชั่นเต็มอาจจะได้เห็นอะไรๆมากขึ้น
App Sticky Note ที่ใช้ประจำ ยังเหมือนเดิม
App ที่มีใน Windows 10 แต่ถูกนำเสนออยู่ใน Windows 11
Windows รุ่นใหม่กับอาถรรพ์ เวอร์ชั่นก่อนหน้าดี ถัดไปห่วยแน่นอน
ต้องเรียกได้ว่าเป็นคำถามที่ต้องจับตาดูทุกๆครั้ง ที่มีการเปิดตัววินโดวส์ใหม่เลยล่ะครับ ถึงใครๆจะลืมเลือนไปบ้าง เพราะตอนแรก Windows 10 จะเป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย
แต่พอมีจะมีการเปิดตัว Windows ใหม่ มันก็ดันมักจะเป็นเรื่องจริงที่ทุกๆครั้งมีการเปิดตัว Windows ใหม่นั้นจะต้องมีเวอร์ชั่นดี แย่ สลับกันเสมอ หากเวอร์ชั่นก่อนหน้าดี เวอร์ชั่นถัดไปห่วยแน่นอน เรามาย้อนรอยกันสั้นๆ และเปรียบเทียบเล็กๆ แล้วกันครับ
Windows 3.1 & Windows 95 อัพเกรดใหม่หมด แต่โดนด่ายับ!
windows 3.1 บน DOS OS
หากใครเกิดทัน จะทราบดีว่า Windows 1.0 – 3.1 นั้นเป็นเพียงโปรแกรมจัดการไฟล์ File Manager หนึ่ง ที่รันบนระบบปฏิบัติการ DOS ซึ่ง Microsoft เล็งเห็นว่ามันยังมีกำแพงบางอย่างทำให้ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ จึงอัพเกรดเป็น Windows เวอร์ชั่น 1995 ขึ้นมา ชื่อก็ตรงตัวเลย Windows 95 ง่ายๆ
ซึ่งฟีเจอร์เด็ดๆ ของ Windows 95 นั้นคือ การสร้าง ระบบใหม่ จากระบบ DOS ขึ้น ให้เป็น ระบบปฏิบัติการของตนเองโดยสมบูรณ์
Windows 95 เป็น OS ที่ไม่ได้รันบน Dos OS แล้ว (แต่ยังรันใน พื้นฐานของ DOS อยู่)
โดยรวม File Manager 3.1 ของตนเองให้เป็นโปรแกรมโปรแกรมหนึ่ง โดยมีชื่อใหม่ Windows Explorer อีกทั้งยังได้มีการเริ่มต้นฟีเจอร์ใหม่ (แต่ก่อนเรียกว่า ฟังก์ชั่น) นั่นคือ ปุ่ม Start Menu และ Taskbar เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสะบายให้กับผู้ใช้งาน ที่ปัจจุบันยังคงอยู่ให้พวกเราได้ใช้งานกันครับ
เขินเบย
เรียกได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ UI/UX และ ระบบหลังบ้าน แต่ทุกๆครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มักจะตามมาด้วย ความไม่สเถียร์ และข้อผิดพลาดมากมายเสมอ นั่นก็เป็นเรื่องปกติ แต่ที่แย่สุดคือ การที่ Windows 95 ตัวดี ดันไปโชว์จอฟ้ามรณะ ท่ามกลางหมู่ชนในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์นั่นเอง
เล่นเอา คุณ Bill gate เขินจนต้องรีบเร่งปล่อย Windows ในอีกสามปีต่อมา คือ ปี 1998 และมีชื่อว่า Windows 98 อย่างรวดเร็วนั่นเอง
Windows 98 สู่ ME ฉลองปี 2000 แทนที่จะแก้บัค กลับเพิ่มบัค! ซะงั้น
Windows ME ที่หน้าตา Icon สวยงามขึ้นกว่าเดิม
และหลังจากแก้ไขให้สามารถทำงานได้สเถียรยิ่งขึ้น แต่ Windows 9x ทั้งสองเวอร์ชั่น ยังไม่ได้มีความสเถียรร้อยเปอร์เซ็น
จึงมีการอัพเกรด Windows 98 เป็นรุ่นใหม่อีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า 98 SE หรือ Windows 2000(ME) และพยายามโปรโมทด้วยว่า จะฉลองเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ ที่ดียิ่งขึ้น!
แต่การเฉลิมฉลองนั้นก็ต้องจบลงเมื่อ Windows ME กลายเป็นว่าบัคเยอะกว่า 9x ด้วยซ้ำ ทำให้เหมือนยิ่งทำยิ่งแย่ Windows ME จึงถูกล้อเลียนจาก ME (Millennium Edition) เป็นวินโดว์สุดห่วย ME (Mistake Edition) แทน
แต่ถึงอย่างนั้น Windows ME ก็มีฟีเจอร์เด็ดๆไม่น้อย ตั้งแต่ System Restore ที่สามารถใช้กู้ไฟล์และย้อนเวลาไปก่อนเกิดบัคได้ และมีความเอนเตอร์เทรนสูงขึ้น ทำให้ใช้คอมพิวเตอร์ในเรื่องเกี่ยวกับมัลติมีเดียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Windows Media Player รุ่นใหม่ และโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Windows Move Maker
Windows XP สู่ Vista จากตำนาน กลายเป็น ยิ่งตำยิ่งนาน
Windows XP เป็นตำนานอยู่ดีๆ
Windows XP นั้นเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกับการแก้ไขความสเถียรใน Windows 98 รวมกับความเอนเตอร์เทนใน Windows ME ทำให้เกิด Windows XP ในตำนานขึ้นมา
ซึ่ง Windows XP ในเวอร์ชั่นแรกอาจจะยังไม่เสถียรมากนัก แต่ก็มีหน้าตาที่สวยงามกว่า 9x มากๆ อีกทั้งยังมีการอัพเกรดระบบใหม่มากมาย และในรุ่น SP 3 นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสเถียรสุดๆ จนทำให้ Windows XP ขึ้นแท่นตำนานที่ผู้คนใช้กันแพร่หลายทั่วโลก และหลายคนไม่อัพเกรดเลยแม้ว่าจะมีรุ่นใหม่ก็ตาม โดยสามารถยืนอายุได้มากถึง 20 ปี
แต่ก็ต้องยอมรับว่า Windows XP นั้นมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยสูงมาก Windows XP นั้นโดนไวรัสเล่นงานมากมาย และไวรัสเป็นลักษณะกวนโอ๊ย เช่น ทำคอมให้ช้าลง , ทำให้มีหน้าต่างโปรแกรมซ้้ำๆ เป็นต้น จนต้องหาแอนติไวรัสมาช่วยป้องกันให้กระจุยกระจาย
Windows Vista ลูกคุณหนู ทำซวย
Microsoft คงเห็นตรงนี้ จึงซุ่มทำ Windows รุ่นใหม่ขึ้นมา และให้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Windows Vista โดย Windows Vista นั้นเป็น Windows ที่ชูโรงความสวยงามมากๆ ด้วยฟีเจอร์ Aero Glass อาจจะเป็น Windows ที่มีความสวยงามที่สุด ตั้งแต่ออก Windows มาเลยก็ว่าได้ และ Windows Vista นั้นพยายามป้องกันความปลอดภัยแบบจัดเต็ม โดยมี Windows Defender Anti Virus ของตนเอง มาตั้งแต่แรกเริ่มเลย เรียกได้ว่าคนละชั้นกับ XP เลย
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า Windows Vista นั้นเหมือนลูกคุณหนูที่มาพร้อมกับราคาที่แพงมากๆ เมื่อเทียบกับ XP ไม่พอ เมื่อผู้ใช้ทดสอบใช้พบว่า Windows Vista นั้นกินสเปคเครื่องแบบสุดๆ ทำให้ใครที่อัพเกรดจาก XP เป็นต้องร้องทุกราย เพราะมันจะทำให้เครื่องของคุณ อืดกว่าเดิมถึง 2 – 3 เท่า และความโชคร้ายคือ Windows Vista ออกมาในช่วงที่ตลาดเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ยังคงซบเซา ทำให้แม้ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด มันก็ยังอืดอยู่ดี
แม้ว่า Vista จะออก SP 2 มาแก้ปัญหาก็ตาม แต่ด้วยภาพจำความอืดของเครื่องและระบบความปลอดภัยของ Windows Vista นั้นมีความจุกจิกรบกวนผู้ใช้ตลอดเวลา ทำให้ Windows Vista มีอายุสั้นมากเช่นเดียวกับ 95 และ ME ภายใน สามปี Microsoft จึงเร่งออก Windows 7 มาแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
Windows 7 คอยตามเช็ด
WINDOWS 7 สู่ WINDOWS 8 และ METRO UI (สุดห่วย) ของเขา
Windows 7 นั้นถือว่าเป็น Windows ที่รับหน้าแก้ปัญหาให้กับ Windows Vista เช่นเดียวกับ XP ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อของเขา (ทีแก้ปัญหาให้ ME)
ซึ่งเจ้า Windows 7 นั้นเหมือนส่วนผสมที่ลงตัว ระหว่างความสวยงามสุดคุณหนูของ Windows Vista และ ความสเถียรมากของ Windows XP อีกทั้งยังมีระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้นมาก แต่ไม่กวนใจผู้ใช้เหมือนเคย ทำให้ Windows 7 ค่อยๆแบ่งสัดส่วน ให้ ผู้ใช้เริ่มเปิดใจที่จะอัพเกรดจาก XP มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะใช้เวลามาก แต่ก็ทำให้ Windows 7 มีความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ และทดแทน XP ได้มากขึ้น
Windows 8 กับ Metro UI สุดป่วน
บวกกับยุคที่โทรศัพท์ (Mobile Phone) เริ่มเข้ามามีบทบาทกับคนเรามากยิ่งขึ้น Microsoft ไม่รอช้า มีไอเดียที่ดี คือการรวมควบเอาระบบปฏิบัติการใน Mobile มาผสมผสานกับ คอมพิวเตอร์ เกิดเป็น Windows รุ่นที่ 8 ขึ้นมา ที่มีการปรับเปลี่ยน โทนสีเล็กน้อย และปุ่ม Start Menu แบบใหม่ ที่ดูแปลกตา โดยใช้ชื่อว่า Metro UI นั่นเอง
แต่นั่นคือปัญหาใหญ่เลยของ Windows 8 เนื่องจาก การใช้งานแบบใหม่นั้น ยากที่จะปรับตัว ยิ่งคนยังแหยง Vista อยู่ พยายามจะเปิดใจกับ Windows 7 ดันเจอให้อัพเป็น 8 แล้วเปลี่ยนเละเทะ ถึงจะสเถียรกว่า Windows 7 แต่ใช้งานยากมากที่สุด ก็ทำให้ Windows 8 ตกประป๋องไปในที่สุด เพราะคนที่ใช้ Windows XP เลือกที่จะอัพเกรดเป็น Windows 7 มากกว่านั่นเอง
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง Start Menu ให้คล้ายทรงเดิมใน Windows 8.1 แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก จนต้องมีการออก Windows รุ่นที่ 10 มาเพื่อเป็นการโปรโมทรูปแบบ Metro UI ให้นิยมมากขึ้น และอัพเกรดให้ใช้งานง่ายขึ้นเล็กน้อย
Windows 10 ที่ป๋าดันสุดฤทธิ์
พร้อมกับมาตราการบังคับอัพเดท เพื่อให้คนยอมเปลี่ยนมาใช้ Windows 10 ด้วยวิธีการสุดโหด เช่น
– ปิดคอม Windows 7 ตื่นมาเป็น Windows 10 เฉยเลย!
– บังคับผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ให้จำกัดการอัพเดทไดร์เวอร์สำหรับ Windows 7 เรียกได้ว่า ใครใช้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ จะไม่สามารถใช้ Windows 7 ได้ แม้ว่าแท้จริงมันยังสามารถใช้ได้ดีอยู่ก็ตาม
– แถมยังเปิดให้คนที่ใช้ Windows เถื่อน อัพเกรดเป็น 10 ฟรีในช่วงหนึ่งอีกต่างหาก
เรียกได้ว่า PR สุดฤทธิ์ อีกทั้งยังคงอายุ Windows 10 ด้วยการประกาศว่าจะเป็นรุ่นสุดท้าย ต่อให้รอไป ยังไงพวกคุณก็ต้องอัพเกรดอยู่ดี หึหึ จนปัจจุบัน Windows 10 จึงเป็นที่นิยมในที่สุด ทำขนาดนี้หากคนไม่เปลี่ยนก็แย่แล้วแหละครับ ฮ่าๆ
แล้ว Windows 11 ในเวอร์ชั่นทดลองนี้ มีแนวโน้มว่าจะรุ่งหรือร่วง?
Windows 11 Desktop
มาในวันนี้ Microsoft กำลังจะกลับลำ เพราะอาจจะเบื่อ Metro UI หรืออะไรก็ตามแต่ ถึงได้กำเนิด Windows 11 ขึ้นมา ซึ่งแอดมินก็คิดว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะ Windows XP และ Windows 7 เป็น Windows ที่แอดรักมากๆ และแอดมินเอง ก็ไม่ได้พอใจ Windows 10 มากนักเพราะถูกบังคับอัพเกรด หากจะมี Windows รุ่นใหม่มา แอดก็คาดหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาเก่าๆที่น่าเบื่อของ Windows 10 ได้ ซึ่งแอดมินได้ตั้งสิ่งที่คาดหวังจาก Windows รุ่นใหม่นี้อยู่พอสมควร และจากที่ได้ลองใช้ เวอร์ชั่นทดลอง จึงขอทำสรุปให้เพื่อนๆ ได้ลองแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ
1. Move on จาก Metro UI ได้แล้ว
ในด้านของ User Interface (หน้าตาการใช้งาน)
จากที่ได้ทดลองใช้ Windows 11 จะเห็นว่า ความเป็น Metro UI มันค่อยๆหายไปมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Start Menu แบบใหม่ ดีไซน์ สี ปุ่ม ต่างๆ ที่ปรับแต่งใหม่หมด และสวยงามในแบบ Minimal Style ซึ่งมันค่อนข้างสวยงามมากๆ ถึงจะคนละแบบกับ Vista และ 7 แต่เห็นแล้วถูกใจกว่า Windows 8 และ 10
อาจจะยังหลงเหลือกลิ่นอายของ Metro UI เล็กน้อย แต่แอดก็คาดหวังว่า Metro UI ต่างๆใน Windows 10 จะถูกนำออกและปรับแต่งให้เป็นแบบใหม่ทั้งหมด คงจะดีมาก
ในด้านของ User Experience (ความรู้สึกการใช้งาน)
แว๊บแรกที่ได้ลองใช้ แอดบอกเลยว่า ประสบการณ์แรก มันมีความใช้งานง่ายกว่า Windows 8 และมีความ เฟรนลี่ดึงดูดให้ใช้งานมากกว่า Windows 10 มาก อาจจะต้องปรับเปลี่ยนการใช้งานไปบ้าง แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น หากเคยใช้ Windows 10 มาล่ะก็สามารถปรับตัวได้ไม่ยาก เรียกได้ว่า Microsoft มาถูกทางแล้วครับ
ที่ยังขัดใจเห็นคงจะเป็น รูปแบบการใช้งานที่ยัง ไม่เลือกว่าจะใช้อะไรกันแน่ เช่น Control Panel รูปแบบ Classic กับ Setting แบบ Metro UI เหมือนยังไม่เลือกทางว่าจะเอาอะไรกันแน่ หากอัพเกรดให้เป็นรูปแบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งหมด จะดีมากครับ
2. Windows 10 กินเสปคมากเกินไป
ต้องว่ากันตามตรง ว่า Windows 10 เป็นผู้โชคดี ที่เกิดมาในยุคที่ ฮาร์ดแวร์แข่งขันกันพัฒนา ทำให้ซดฮาร์ดแวร์ได้ไม่อั้น (ต่างกับ Vista ที่น่าสงสาร) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Ram เริ่มต้น ที่แม้จะกำหนดมาขั้นต่ำที่ 2GB แต่หากใครใช้ขั้นต่ำจริงๆจะรู้ ว่ามันไม่พอครับ จนเสปคเครื่องพื้นฐานปัจจุบัน ต้องกำหนดเสปคแรมขั้นต่ำโดดไปถึง 8GB เรียกว่า ใครใช้ต่ำกว่า 8GB มีสะดุ้งแน่นอน ในขณะที่ Windows 7 สามารถรันได้อย่างดีที่ 2GB แม้ต่ำกว่าก็ไม่เกิดปัญหามาก และในขณะที่ค่ายผลไม้ ไม่ต้องการแรมมากมายก็สามารถเร็วได้แล้ว
รวมถึงประเด็นที่ Windows 10 นั้นเร็วด้วยตัวของมันเอง หรือเร็วด้วย พลังของ SSD กันแน่? หากคุณไม่ใช้ซื้อ SSD มารัน Windows 10 อาจจะเกิดปัญหา Disk 100% ที่ทำให้ Windows อืดพอๆกับสมัย Windows Vista เลยก็เป็นได้ ทั้งๆที่ ฮาร์ดแวร์สมัยนี้ดีกว่าสมัยนั้นเยอะ?
SSD คืออะไร? ใครยังไม่รู้จัก คลิกเลย >> SSD คืออะไร?
ในส่วนประเด็นที่ว่า ฮาร์ดแวร์เก่าเกินไป ผู้ใช้ฮาร์ดแวร์เองก็ควรอัพเกรดได้แล้ว แอดก็เห็นด้วยครับ แต่ลึกๆ ก็หวังว่า Windows 11 จะมาแก้ปัญหาพื้นฐานตรงนี้ได้ เพื่อเป็นมิตรกับคอมที่มีฮาร์ดแวร์รุ่นเก่ามากขึ้น และเป็น Windows ที่สเถียรภาพมากกว่า Windows 10 นะครับ
3. Bug ยิบย่อยต่างๆจากการอัพเดทอันแสงฟุ่มเฟือยของ Windows 10
อย่างที่ทราบกันครับ ว่า Windows 10 เป็น Windows ที่มีอัพเดทเยอะมากมายเหลือเกิน บางครั้งก็อัพเกรดแล้วดีขึ้น แต่บางครั้งก็อัพเกรดแล้วเกิดปัญหาจนต้อง คืนค่า (Roll Back) กลับ ก็มีไม่น้อย อีกทั้งยังไม่สามารถปิดอัพเดทได้ถาวร แบบ Windows รุ่นก่อนๆ อีกต่อไปแล้ว
เรียกได้ว่า กึ่งบังคับอัพเดทเลย แล้วทุกๆครั้งที่มีการ “แอบ” อัพเดท แม้ผู้ใช้ไม่สะดวกก็ตาม จะทำให้เครื่องเกิดการ ดึง อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้เราใช้ เน็ตได้ช้าลง ใครแชร์ 4G จะเข้าใจเลย รวมถึง มีการซดพลังเครื่องมากขึ้น หากเรากำลังเล่นเกมอยู่แล้วมันอัพเดทไปด้วย ใครคอมไม่แรงมาก จะมีอาการ แลค (Laggy) ให้เห็นทันที
หากใครมีความรู้ ก็จะไปไล่ปิดอัพเดท ช่วยให้ดีขึ้นบ้าง แต่สำหรับคนที่ไม่รู้นี่สิครับ เขาจะทำอย่างไร บ้างก็คิดว่า ไวรัสเข้าบ้าง บ้างก็คิดว่า คอมเสียบ้าง ยกไปให้ช่างคอมดูกันอีกวุ่นวายเยอะเลยครับ
ก็หวังว่า Windows 11 จะมีการยินยอมให้อัพเกรดในเวลาที่สะดวกด้วยตนเอง ก็คงจะดีมากครับ
หากชอบบทความของเรา สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการ
กดไลค์ GagangTech และติดตามช่อง Youtube GagangTech
– แล้วไว้เจอกันใหม่ ในบทความหน้า สวัสดีครับ –